วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557
1.widget 2.gadget 3.mashup 4.RSS 5.XML 6. artificial intelligence(AI) 7.phishing
Widget
Widget (วิจิท) คือ ชุดคำสั่งโปรแกรมขนาดเล็ก หรือโปรแกรมสำหรับการควบคุมในการทำงานที่สร้างจากโปรแกรมแฟลช หรือจาวาสคริปต์ ช่วยรองรับการทำงานของอินเตอร์เฟสกับแอพพลิเคชั่นหรือระบบปฏิบัติการ Widget ที่พบกันบ่อยๆ เช่น ปุ่ม ไอคอน และแถบเมนู Widget ถูกนำไปติดไว้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมถึง บล็อค และมือถือด้วย
...Widget ถ้าดาวน์โหลดมาติดตั้งลงบนคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเล็กๆ ที่ว่านี้ จะปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ (Desktop) มีสีสันสวยงาม โปร่งใส และใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะเป็นพยากรณ์อากาศ ปฏิทิน นาฬิกา ตารางนัดหมาย หรือแม้กระทั่งเป็นข่าวสารที่ส่งผ่านมาถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้ สะดวกสบาย เวลาจะออกจากบ้าน แต่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นพยากรณ์อากาศ ฝนจะตกแดดจะออก พายุจะเข้า เรารู้หมด อยากรู้ผลบอล มันก็อยู่ตรงหน้าคุณ ข่าวสารรวดเร็ว ไม่ต้องเข้าเว็บไซต์นั้น มาโผล่ที่บล็อกนี้ กลับไปกลับมา ไม่ต้องรันโปรแกรมด้วย เพราะมันทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว เว้นแต่คุณจะสั่งปิดการทำการของมันเอง
ที่มา
Gadget
Gadget หมายถึง อุปกรณ์ คำ คำนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกันไม่นานนี่เอง จะนำมาใช้ในรูปแบบของโปรแกรมเสริม เล็กๆน้อยๆ เช่น นาฬิกา บน windows 7 โปรแกรมเสริมการรายงานข่าว และเริ่มมีการใช้กับอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น สิ่งประดิษฐ์ด้านเทคโนโลยีที่มันสมัย และมีขนาด ทั้งด้านความจุหรือปริมาณไม่มาก (ขนาดเล็ก) ส่วนใหญ่จะเน้น ด้านความบันเทิง ความสนุก ความสะดวก เราคงจะพอทราบความหมายของคำว่า Gadget กันบ้างแล้วใช้ไหม สรุปก็คือ สิ่งประดิษฐ์ ขนาดเล็กๆ ในดานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม หรืออุปกรณ์ ก็สามารถเรียกว่า Gadget ได้เหมือนกัน แต่จะเป็นประเภทไหนแค่นั้นเอง
แกดเจ็ต มีสองความหมายด้วยกัน คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์เสริมขนาดเล็กที่ช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนชอตคัต เช่น การบอกเวลาจากนาฬิกา การติดตามข่าวสาร ฟังวิทยุ หรือตรวจสอบราคาหุ้น โดยแกดเจ็ตจะช่วยย่นเวลาในการเปิดเบราว์เซอร์เพื่อเรียกดูข้อมูลทีละรายการ เปลี่ยนเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวมาไว้บนเดสต์ทอป ในอีกความหมายถึง แกดเจ็ต คือ อุปกรณ์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่นำมาใช้กับโน้ตบุ๊กหรืออาจจะหมายถึงของเล่นไฮเทคที่มีความล้ำยุค
ที่มา
Mashups
“Mashups” เวบไซด์ที่รวบรวมเนื้อหาหรือบริการจากหลายๆที่เข้าไว้ด้วยกัน
โปรแกรมประยุกต์ใช้งานทั่วไปที่ทำงานบนเวบเบราเซอร์ สามารถทำงานได้เร็วเกือบเทียบเท่ากับโปรแกรมที่ติดตั้งลงบนเครื่อง PC ต้องขอขอบคุณเครื่องมือการเขียนโปรแกรมใหม่ๆที่ได้รวมเอาเทคโนโลยีของเวบในขณะนี้เอาไว้ด้วยกันเช่นAJAX(Asynchronous JavaScript and XML) และ Ruby on Rails ด้วยการใช้งานเทคโนโลยีของ Java ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆทำให้เราสามารถทำการประมวลผลข้อมูลต่างๆ บนเครื่อง PC ฝั่ง Client หรือฝั่งของผู้ใช้ได้ นั่นหมายความว่าจำนวนข้อมูลที่จะถูกส่งและรับจาก Web Server จะลดลงมาก และโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็น เวบเบราเซอร์ ทั่วไปก็จะสามารถทำงานร่วมกับเวบไซด์ต่างๆได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
Facebook
และ เวบไซด์ ใหญ่ๆหลายแห่งมีบริการให้ผู้ใช้ที่มีข้อมูลตรงกับข้อมูลต่างๆของทางเวบไซด์สามารถสร้างบริการของตัวเองขึ้นมาได้ เช่น Google มีการแจกจ่ายอินเตอร์เฟสต่างๆสำหรับการเขียนโปรแกรมประยุกต์เพื่อเรียกใช้งานข้อมูลจาก Google Maps และบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับแผนที่ ตัวอย่างเช่น เวบไซด์ที่เปิดบริการเป็น “Mashups”(เวบไซด์ที่รวบรวมเนื้อหาจากหลายๆที่เข้าไว้ด้วยกัน)อย่างเช่น trulia.com ที่ได้ร่วมมือกับโปรแกรมแผนที่ของ Google ร่วมกับข้อมูลการค้นหาสถานที่ต่างๆเพื่อให้บริการค้นหาข้อมูลพื้นที่ที่มีการขายบ้าน
การเปลี่ยนแปลงจากการรอรับข้อมูลอย่างเดียวไปเป็นการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้และเวบเพจนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเทคโนโลยีเวบ ผู้ใช้สามารถส่งไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เอกสาร และ ไฟล์ประเภทอื่นๆ ขึ้นไปที่ Blog ของตัวเองหรือทำการส่งเนื้อหาของเวบโดยใช้วิธีการที่เรียกว่า “news feed”
หลายๆเวบไซด์อณุญาตให้ผู้ใช้เพิ่ม keyword หรือ “Tag”(เปรียบเสมือนป้ายชื่อที่คอยบอกประเภทของไฟล์นั้น) ให้กับ ไฟล์รูปภาพ , วีดีโอ และไฟล์อื่นๆของเรา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้อาจจะอยากใส่คำว่า “Barcelona” และ “water balloons”ให้กับรูปภาพในวัน soggy day ที่ประเทศ สเปน
โดยธรรมชาติแล้ว Tag ต่างๆเหล่านี้ยังช่วยให้เราสามารถค้นหา เรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลก เรื่องความสวยความงามหรือเรื่องอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปขุดค้นจาก Search Engine ทั่วไปด้วยความยากลำบาก
RSS
RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication คือ บริการที่อยู่บนระบบ อินเตอร์เน็ท จัดทำข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในรูปแบบ XML เพื่ออำนวยความสะดวกให้ กับผู้ใช้ โดยส่งข่าวหรือข้อมูลใหม่ๆ ให้ถึงเครื่องตลอดเวลาที่มีการ Updateไม่ต้อง เสียเวลาเปิดเว็บไซต์เข้ามาค้นหาอดีของ RSS
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิด ลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็น ศูนย์กลางมากขึ้น
จุดเด่นของ RSS คือ ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและ ฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์
รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไหนมีบริการ RSS
สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมาย หรือ ส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณเมนูหลักของเว็บ หรือบริเวณส่วนล่างของหน้าเว็บเพจ
RSS หรือ Really Simple Syndication คือรูปแบบไฟล์ของภาษา XML ใช้สำหรับการแบ่งปันหัวเรื่อง ข้อมูลบนเว็บระหว่างเว็บด้วยกัน หรือสำหรับดึงข่าวจากเว็บต่างๆ มาแสดงบนเว็บของคุณ ซึ่งแต่ก่อน อาจมีการสร้างหัวเรื่องของข่าวจากเว็บต้นแบบ จากนั้นนำลิงค์ไปติดที่หน้าเว็บของเรา การแก้ไขถ้าเว็บต้นแบบแก้ไข เว็บของเราจะต้องทำการแก้ไขตามด้วย
นอกจากนี้สำหรับนักท่องเน็ตทั่วไป สามารถนำประโยชน์ของ RSS นี้ไปใช้งานได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเว็บไซต์นั้นบ่อยๆ (ทั้งนี้เนื่องจากหลายๆ เว็บอาจมีการ udpate ข้อมูลที่ไม่พร้อมกัน) โดยสามารถติดตั้งโปรแกรม RSS Reader ใช้สำหรับดึงหัวข้อข่าวสารที่มีบริการ RSS มาไว้ในเครื่องของเรา และถ้ามีการ udpate จากเว็บนั้นๆ เราก็สามารถคลิกลิงค์ไปยังเว็บที่ให้บริการได้โดยตรง ทำให้ย่นเวลาในการเข้าไปดูเว็บต่างๆ มากมาย
รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไหนมีบริการ RSS
สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมาย หรือ ส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณเมนูหลักของเว็บ หรือบริเวณส่วนล่างขงหน้าเว็บเพจ
เพิ่มเติม : XML
XML (eXtensible Markup Language)
เป็นภาษาชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับเขียนเอกสารประเภท markup โดยจะมีการใช้ tags ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาHTML เพื่อกำหนด แยกแยะประเภทของข้อมูลให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จุดเด่นของ XML คือเป็นโปรแกรมที่ยืนหยุ่นมาก และไม่ขึ้นกับโปรแกรมประยุกต์หรือระบบปฏิบัติการใดๆ
วิธีการรับ RSS
กรณีที่ยังไม่มีโปรแกรม RSS ต้อง Download โปรแกรม RSS มาติดตั้งที่เครื่องก่อน โปรแกรม RSS มีหลายค่าย ได้แก่
•RSS Reader (www.rssreader.com)
•RSS Bandit (www.rssbandit.org)
•Sharp Reader (www.sharpreader.net)
•Mozilla Thunderbird (www.mozilla.com/thunderbird)
•Microsoft Outlook (www.microsoft.com)
•Nuparadigm RSS Screensaver (www.nuparadigm.com)
ที่มา
XML
XML ย่อมาจาก Extensible Markup Language คือภาษาหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล ซึ่งภาษาที่ใช้กำหนดรูปแบบของคำสั่งภาษา HTML หรือที่เรียกว่า Meta Data ซึ่งจะใช้สำหรับกำหนดรูปแบบของคำสั่ง Markup ต่าง ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับภาษา HTML จะแตกต่างกันที่ HTML ถูกออกแบบมาเพื่อการแสดงผลอย่างเดียวเท่านั้น เช่นให้แสดงผลตัวเล็ก ตัวหนา ตัวเอียง เหมือนที่คุณเคยเห็นในเวบเพจทั้วไป แต่ภาษา XML นั้นถูกออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูล โดยทั้งข้อมูลและโครงสร้างของข้อมูลนั้นๆไว้ด้วยกัน ส่วนการแสดงผลก็จะใช้ภาษาเฉพาะซึ่งก็คือ XSL (Extensible Stylesheet Language)
ภาษา XML มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยแท็กเปิด และแท็กปิด เช่นเดียวกับภาษา HTML แต่ภาษา XML คุณสามารถสร้างแท็กรวมทั้งกำหนดโครงสร้างของข้อมูลได้เอง ซึ่งความสามารถตรงนี้ตัวภาษา ทำไม่ได้เพราะภาษา HTML ถูกกำหนดแท็กตายตัวโดย W3C หรือ World Wide Web Consortium อาจกล่าวได้ว่า XML เป็นส่วนเสริมของ HTMLเพราะตัว XML ไม่สามารถแสดงผลได้ในตัวของมันเอง หากต้องการแสดงผลที่ถูกต้อง จะต้องมีการใช้ร่วมกับภาษาอื่น เช่น HTML,JSP, PHP , ASP หรือภาษาอื่น ๆ ที่สนับสนุน XML จะมีนามสกุลเป็น .XML สามารถสร้างขึ้นจากโปรแกรมประเภท Text Editor ใดก็ได้ เช่น Notepad, Editplus , DreamWeaver, MS Word เป็นต้น
สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์ของ XML นั้นจะเป็นความสะดวกในการจัดการด้านระบบการติดต่อกับผู้ใช้จากโครงสร้างของข้อมูล เราสามารถนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาแสดงผลและประมวลผลร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า รายการสั่งซื้อ ผลการวิจัย รายการรับชำระเงินข้อมูลเวชระเบียน รายการสินค้าหรือข้อมูลสารสนเทศอื่นๆ ก็สามารถแปลงให้เป็น XMLได้ และในส่วนของข้อมูลสามารถปรับให้เป็น HTML ได้ สำหรับประโยชน์ในการใช้งานนั้น เราจะสามารถนำมาใช้สำหรับการเข้าถึงระบบข้อมูลขนาดใหญ่ใช้กับระบบเครือข่ายในองค์กร หรืออินเตอร์เนตเพื่อดูข้อมูลหรือเรียกใช้ข้อมูลที่ให้การแสดงผลทางหน้าจอที่รวดเร็วจุดเด่นของ XML
1. ดูเอกสารได้ง่าย สะดวก และได้ผลดีเหมือน HTML
2. สนับสนุนการประยุกต์ใช้กับงานต่าง ๆ และสนับสนุนโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ
3. เขียนง่าย
4. อ่านได้ด้วยมนุษย์ โดยไม่ต้องอาศัยโปรแกรมหรือเครื่องมือช่วยแปล
5. การเขียน XML ทำได้ด้วยการใช้ Text editor ทั่วไป และไม่ต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อน
6. ใช้เป็นตัวควบคุมข้อมูล (Meta data) จึงเป็นแนวทางในการขนส่งข้อมูล และสร้างการเชื่อมโยงระหว่างแอปพลิเคชั่นได้ง่าย
7. สนับสนุน UNICODE ทำให้ใช้ได้กับหลากหลายภาษา และผสมกันได้หลากหลายภาษา
8. ดึงเอกสาร XML มาใช้งานได้ง่าย และใช้ร่วมกับโปรแกรมประยุกต์อื่นได้ง่าย เช่น โปรแกรม DB2, Oracle, SAPเป็นต้น
9. นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจกรรมบนเครือข่ายได้มาก เช่น E-Business, EDI, E-Commerce, การจัดการSupply chain / Demand chain management, การดำเนินการแบบ intranet และ Web Base Application
ที่มา
artificial intelligence
artificial intelligenceความหมาย ใช้ตัวย่อว่า AI หมายถึง แขนงการศึกษาทางวิทยาการคอมพิวเตอร์แขนงหนึ่งที่พยายามจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถคิดหาเหตุผลได้ เรียนรู้ได้ ทำงานได้เหมือนสมองมนุษย์
1) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert-Systems) เป็นระบบการให้คำแนะนำในการจัดการปัญหา โดยอาศัยความรู้ของผู้เชี่ยวชาญที่โปรแกรมไว้
2) Neural Networks เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถกระทำ หรือจำลอง การทำงานของสมองมนุษย์ได้
3) Genetic Algorithms ปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยในการสร้างทางเลือก จำนวนมากในการแก้ปัญหา รวมทั้งทางเลือกที่ดีที่สุด
4) การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) เป็นการประมวลผลที่ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและโต้ตอบกับคำสั่ง หรือข้อความที่เป็นภาษา “ธรรมชาติ” ของมนุษย์ได้
5) ระบบการเรียนรู้ (Learning Systems) เป็นระบบที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยสามารถโต้ตอบ หรือมีปฏิกิริยากับสถานการณ์แวดล้อมได้
6) ระบบการมองเห็น (Vision Systems) ระบบที่คอมพิวเตอร์สามารถบันทึกเก็บรักษาและจัดการกับภาษาที่มองเห็น หรือรูปภาพได้ เป็นการนำระบบนี้มาใช้ในการวิเคราะห์รอยนิ้วมือ
7) หุ่นยนต์ (Robotic) การพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรกล ให้ทำงานซึ่งมีลักษณะที่ต้องการความแม่นยำสูง หรือเป็นงานที่น่าเบื่อ หรือทำให้เกิด ความเมื่อยล้าแก่มนุษย์
Phishin
Phishing คือการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เพื่อขโมยข้อมูลที่สำคัญ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขประจำตัวผู้ใช้ (User name) รหัสผ่าน (password) หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ เป็นต้น โดยจะส่งข้อความมาลวงให้หลงเชื่อ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงิน
1. หยุดคิดก่อนคลิก และพิจารณาข้อมูลที่ได้รับทางอีเมล ข้อความ (SMS) หรือข้อมูลที่เข้าไปดูในเว็บไซต์ทุกครั้ง และ ควรลบข้อมูลที่น่าสงสัยนั้นทิ้งทันที
ที่มา
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557
E1/E2 และ การใช้ t-test แบบ Independent และ การใช้ t- test แบบ dependent
E1/E2
E1/E2 คือ การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้ โดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภทคือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) กำหนด ค่าประสิทธิภาพเป็น E1 =Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น (Do the thing right=Efficiency) (Do the right thing=Effectiveness) E2 =Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 1. ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior) คือประเมินผลต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทำโครงการ หรือทำรายงานเป็นกลุ่ม และรายงานบุคคล ได้แก่งานที่มอบหมาย และกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้ 2. ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal Behavior) คือประเมินผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่ ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนจะกำหนดเป็นเกณฑ์ ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยน พฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงานและ การประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมด ต่อ ร้อยละของผลการประเมินหลังเรียนทั้งหมด E1/E2 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ กระทำได้ 2 วิธี คือ โดยใช้สูตรและโดยการคำนวณธรรมดา โดยใช้สูตร เมื่อ E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ E1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัติ กิจกรรมหรืองานที่ทำระหว่างเรียนทั้งที่เป็นกิจกรรมในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือออนไลน์ A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติ ทุกชิ้นรวมกัน N คือ จำนวนผู้เรียน เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน B คือ คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้ายของแต่ละหน่วย ประกอบด้วยผลการสอบหลังเรียนและคะแนนจากการประเมินงานสุดท้าย N คือ จำนวนผู้เรียน แนวคิดการหาประสิทธิภาพที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการและผลลัพธ์ และสูตร E1/E2 เป็นลิขสิทธิ์ของ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ไม่ว่าจะเขียนในรูป E1:E2 E1ต่อE2 หรือในรูปแบบใดจะนำไปดัดแปลงเป็นอย่างอื่นเช่น P1/P2 X1/X2 และเปลี่ยนแปลงสูตร เช่น จาก SF เปลี่ยนเป็น SY กระทำไม่ได้ ลิขสิทธิ์นี้ รวมถึงการนำไปจัดทำโปรแกรมคำนวณทางคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ทรงลิขสิทธิ์คือ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ไม่ได้เช่นกัน การตีความหมายผลการคำนวณค่า E1/E2 หลังจากคำนวณหาค่า E1 และ E2 ได้แล้ว ผู้หาประสิทธิภาพต้องตีความหมายของผลลัพธ์โดยยึดหลักการและแนวทางดังนี้ ความคลาดแคลื่อนของผลลัพธ์ ให้มีความคลาดเคลื่อนหรือความแปรปรวนของผลลัพธ์ ได้ไม่เกิน .05 (ร้อยละ 5) จากช่วงต่ำไปสูง= ±2.5 นั่นคือผลลัพธ์ของค่า E1 หรือ E2 ที่ถือว่า เป็นไปตามเกณฑ์ มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เกิน 2.5% และสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ไม่เกิน 2.5% หากคะแนน E1 หรือ E2 ห่างกันเกิน 5% แสดงว่า กิจกรรมที่ให้นักเรียนทำกับการสอบหลังเรียนไม่สมดุลกัน เช่น ค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่า งานที่มอบหมายอาจจะง่ายกว่า การสอบ หรือ หากค่า E2 มากกว่าค่า E1 แสดงว่า การสอบยากกว่าหรือไม่สมดุลกับงานที่มอบหมายให้ทำ จำเป็นที่จะต้องปรับแก้ หากสื่อหรือชุดการสอนได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างดีมีคุณภาพ ค่า E1 และ E2 ที่คำนวณได้จากการทดสอบประสิทธิภาพ จะต้องใกล้เคียงกันและห่างกันไม่เกิน 5% ซึ่งเป็นตัวชี้ที่จะยืนยันได้ว่า นักเรียนได้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมต่อเนื่องตามลำดับขั้นหรือไม่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมขั้นสุดท้าย หรืออีกนัยหนึ่งต้องประกันได้ว่านักเรียนมีความรู้จริง ไม่ใช่ทำกิจกรรมหรือทำสอบได้เพราะการเดา
การใช้ t-test แบบ Independent
เป็นสถิตที่ใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ( )ระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน
ข้อมูลที่รวบรวมได้อยู่ในระดับ อันตรภาคหรืออัตราส่วน ใช้สถิติการทดสอบค่า t มีชื่อเฉพาะว่า t-test for Independent Samples สถิติตัวนี้ใช้มากทั้งในการวิจัยเชิงเปรียบเทียบและการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมี 2 กรณี (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2549, หน้า 86)
ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบ กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน(Two Independent Samples)
t-test (Independent)
- กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มไม่สัมพันธ์กัน(เป็นอิสระต่อกัน)
- ค่าของตัวแปรตามในแต่ละหน่วยเป็นอิสระต่อกัน
- กลุ่มตัวอย่างได้มาอย่างสุ่มจากประชากรที่มีการแจกแจงแบบปกติ
- ไม่ทราบความแปรปรวนของแต่ละประชากร
การใช้ t- test แบบ dependent
เป็นสถิตที่ใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย( )ระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน และกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว
ได้แก่ สถิติการทดสอบค่า t มีชื่อเฉพาะว่า t-test for dependent Samples ซึ่งมักพบในการวิจัยเชิงทดลองที่ต้องการเปรียบเทียบผลระหว่างก่อนทดลองกับหลังทดลองหรือเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมที่ได้จากการจับคู่
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2540, หน้า 240) กล่าวว่า ข้อมูลที่เรียกว่า คู่(pair observation) นั้นมีหลายประเภท แต่คุณสมบัติสำคัญจะต้องเกี่ยวข้องกัน (Dependent Sample)มีข้อมูลอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ
ประเภทแรก คือ ข้อมูลที่สอบหรือวัดจากคนเดียวกัน 2 ครั้ง
ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบ t-test (Mean One Sample Test) กรณีมีกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม(One Sample)
- ข้อมูลอยู่ในมาตรอันตรภาค(Interval Scale) หรือมาตราอัตราส่วน(Ratio Scale)
- กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มได้จากประชากรที่มีการแจกแจงแบบปกติ
- ค่าของตัวแปรตามแต่ละหน่วยเป็นอิสระต่อกัน
- ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร
(ศิริชัย กาญจนวาสี,ทวีวัฒน์ ปิตยานนท์ และดิเรก ศรีสุโข(2551, หน้า 55)
ประเภทที่สอง เป็นประเภทคุณลักษณะของตัวอย่างที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมากที่สุดเลือกมาเป็นคู่ๆ(math-pairs) เช่น เด็กฝาแฝด สามีภรรยา เชาว์ปัญญาเท่ากัน รสนิยมเดียวกัน เป็นต้น ตอนเลือกมาจะเป็นคู่ๆ แต่ตอนทำการทดลอง หรือศึกษาจะต้องสุ่มอีกครั้ง การทดสอบความแตกต่างจะใช้ t- dependent
ข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติทดสอบกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่สัมพันธ์กัน(Two Related-Samples)
t-test (Dependent or Matched Pair Sample)
- ข้อมูล 2 ชุดได้มาจากลุ่มตัวอย่างเดียวกัน หรือมาจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม สัมพันธ์กัน
- ค่าของตัวแปรตามแต่ละหน่วยเป็นอิสระต่อกัน
- กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มมาจากประชากรที่มีการแจกแจงแบบปกติ
- ไม่ทราบความแปรปรวนของประชากร
แห
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)